Return to Website

ศาลาประดู่หก

ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่ศาลาประดู่หก

สามารถคุยกันได้ทุกๆเรื่องโดยเฉพาะทางวิชาการดนตรียิ่งดีใหญ่

เป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยไม่ต้องเสียตังค์ครับผม

ศาลาประดู่หก
Start a New Topic 
Author
Comment
Story of BIRD

Story of BIRD#1
เมื่อคืนวันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2546 เวลาประมาณ 21.45 เพราะเป็นเวลาที่ผมต้องเดินจาก Top of the reef เพื่อไปทานข้าวที่ Cafe andaman เป็นห้องอาหารในโรงแรมเคปพันวาที่ผมทำงานอยู่ ในขณะที่เดินไปตามทางเดินที่ปูด้วยซีเมนต์เป็นแผ่นๆ ถึงบริเวณสนามกว้างๆ และตรงนั้นมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงสัตว์ร้องเสียงดังน่าตกใจ เพราะเป็นเสียงตกใจมากของสัตว์ซึ่งผมไม่รู้ในเวลานั้นว่าเป็นเสียงอะไร
จากนั้นก็เลยหยุดและหันไปรอบๆเพื่อมองหาต้นตอของเสียงร้องนั้น ในเวลานั้นค่อนข้างมืดมาก เพราะเป็นช่วงเวลาที่โรงแรมลดค่าใช้จ่ายด้วยการประหยัดไฟทุกดวงที่ไม่สำคัญ ต้องปิดหมด ผมหันไปเห็นแมวสีขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่งกำลังจับโยนเล่น สัตว์เล็กอีกตัวหนึ่ง และแมวนั้นมันยังกระโดดโลดเต้น อย่างมีความสุขที่กำลังเพลินกับอาหารโอชะของมันซึ่งเดาว่าอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้มันจะตายและตกเป็นเหยื่อของแมวตัวโตนั้นอย่างแน่นอน พันเปอร์เซ็นต์

ผมยังไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร แต่เมื่อพยายามเพ่งมองในที่มืดนั้นก็เห็นว่ามันยังไม่ตาย และเห็นปีกกระพือพร้อมกับร้องเสียงดังอีกหลายครั้ง ผมแน่ใจว่าเป็นนก เลยวิ่งเข้าไปเพื่อไล่แมวตัวนั้น เพื่อต้องการช่วยเจ้านกหากว่ามันยังไม่บาดเจ็บปางตาย

ผมเข้าไปใกล้มันและค่อยๆประคองหยิบขึ้นมาในอุ้งมือด้วยความสงสารอย่างจับใจ และรีบเดินเร็วๆ เพื่อกลับไปที่สว่างๆ ที่ห้อง Top of the reef เพื่อดูว่ามันเจ็บแค่ใหน ปรากฏว่า ขาบาดเจ็บจนทรงตัวไม่ได้,ไต้ท้องมีเลือดใหลซิบ เพราะโดนเล็บแมวจิก บนหลังด้านขวาก็มีรอยแผล,ตรงขาข้างซ้ายก็บาดเจ็บ และมันเป็น "...ลูกนกเอี้ยงที่หล่นลงมาจากรัง..." อายุประมาณไม่เกิน 1อาทิตย์ น่าสงสารมาก

ผมรีบหากระดาษทิชชู และอุ้มมันไปในห้องน้ำ เอากระดาษทิชชูชุบน้ำและเช็ดเลือดของมัน ทุกบาดแผลอย่างระมัดระวัง พร้อมทั้งทำความสะอาดขนปีกของมันทั้งสองข้าง ขอบคุณพระเจ้าที่ปีกมันไม่หัก และขาที่เจ็บนั้นน่าจะมีโอกาสหายเป็นปกติ มันยังอยู่ในความกลัวและอาการตกใจมาก ผมอุ้มมันในอุ้งมือ,เช็ดตามตัวมันที่เปียกให้แห้ง และบอกมันว่า.. "ไม่ต้องกลัวนะลูก พ่อจะพาไปอยู่ด้วยและจะรักษาให้หาย" พร้อมกับพามันไปที่โคมไฟ เพื่ออังเอาความอุ่นจากหลอดไฟให้หายเปียกชื้น กลิ่นตัวมันตอนนั้นมีทั้งกลิ่นขี้โคลน และขี้ของมันเองที่ขี้แตกตอนตกใจมากๆนั่นแหละครับ

พอตัวมันเริ่มแห้ง มันก็ลืมตาใสแจ๋วและพยายามมองมาที่ผมตลอดเวลา ผมอ่านความรู้สึกมันได้ คล้ายมันจะพูดว่า.. "ขอบคุณมากจริงๆครับ ที่ช่วยชีวิตผม ไม่งั้นผมต้องตายแน่ๆด้วยฝีมือของไอ้แมวร้ายตัวนั้น ถึงแม้ผมสมควรที่จะเป็นอาหารของแมว ตามวัฒจักรของสัตว์โลก ที่พระเจ้าทรงสร้างมาก็ตาม แต่นี่..ผมยังเล็กมาก และหล่นลงมาจากรัง โดยไม่ตั้งใจ ผมโชคร้ายที่เกือบเป็นอาหารแมวตัวนั้น ถึงมันได้กินก็ไม่อิ่มเท่าใหร่หรอก"

คินนั้นผมไม่ได้กินข้าวอีกเลย เพราะหมดเวลาแล้ว แต่ผมมีความสุขที่ได้ช่วยชีวิตลูกนกตัวนี้ หลังจากที่มันหายกลัว ผมก็ยังอุ้มมันไว้ในอุ้งมือตลอดเวลา เพื่อให้ความอบอุ่นกับมัน พอมันหลับผมก็เอากระดาษทิชชูห่อตัวมันไว้และใส่ลงในกระเป๋าเสื้อด้านซ้าย ตั้งใจว่าจะให้มันได้ยินเสียงหัวใจผมเต้น เพื่อมันจะได้จำได้ พร้อมทั้งต้องการให้มันรู้สึกปลอดภัย ได้ผลครับ มันนอนหลับอย่างอ่อนเพลียอยู่ในกระเป๋าเสี้อตลอดเวลา ถึงแม้ผมจะเดินไปเดินมา หรือขึ้นนั่งเล่นเปียโนก็ตาม มันก็ไม่ตกใจเลย ผมมีความสุขมาก นึกในใจว่า.."ขอบคุณพระเจ้าที่ให้ผมได้ทำความดี ผมจะมีเพื่อนเพิ่มมาอีกหนึ่งตัว" และต่อมาก็ได้หาที่สงบๆนั่งจับต้องลูบไล้มันๆก็ตอบรับด้วยความอ่อนโยนเหมือนกัน

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้า 7.30 น. ของวันพุธที่ 21/5/2003 ผมเข้าไปดูมันในกระเป๋าเสื้อตัวเดิมที่แขวนไว้ตั้งแต่เมื่อคืนเพื่อให้มันหลับ และเอน้ำผึ้งรวง มาละลายน้ำอุ่นๆเพื่อไม่ให้ข้นเกินไป หยอดใส่ปากมัน หลายครั้ง หลังจากนั้นก็เดินไปในสนามหญ้าหลังบ้านที่รกๆนิดหน่อย แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ในพงหญ้านั้นมีตั๊กแตนเล็กๆอยู่บ้าง ผมจับตัวเล็กๆมา 2-3ตัวเด็ดขามันออกไป และป้อนให้ลูกนกของผมกินเป็นมื้อแรก

เช้านี้อาการมันดีขึ้นอย่างมองเห็นได้ ผมดีใจมากที่มันรอด ตั้งใจจะเลี้ยงให้มันโต และจะตั้งชื่อให้มันด้วย ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย ผมจะเลี้ยงให้เป็นธรรมชาติโดยไม่ขังมันในกรง เชื่อว่ามันจะไม่หนีผมหลังจากบินได้ก็ตาม เพราะจะพามันไปโน่นไปนี่ตามสมควร ผมเจอวัสดุที่ทำจากต้นตาลเป็นรูปหม้อดินขนาดพอเหมะ แล้วก็เอากระดาษทิชชูรองพื้น และให้มันนอนในนั้นโดยไม่ปิดฝา ตอนนี้มันนอนชะเง้อดูผมนั่งพิมพ์เรื่องของมันอยู่บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ ผมคอยเอานิ้วลูบหัว,ลูบปากมันเป็นระยะๆ เมื่อใหร่ที่เสียงกดคีย์บอร์ดดังไป มันก็สะดุ้งมองมาที่ผม

หลังจากนี้ไปผมจะเล่นเปียโนให้มันฟังด้วยทุกวันๆ เพราะผมต้องซ้อมเปียโนอยู่แล้ว มันคงจะคุ้นกับเสียงเพลงแจ้สต่างๆที่ผมจะเล่นและฝึกซ้อม ถ้ามันโตผมอยากให้มันเกาะใหล่ และไปกับผมทุกหนทุกแห่ง แม้เวลาที่ผมเล่นเปียโนก็อยากให้มันฟังด้วยทุกๆครั้งไป และเกาะอยู่บนหัวใหล่ หรืออยู่ไกล้ๆตัวผมตลอดเวลา เช่นที่เปียโน,ที่เก้าอี้ ฯลฯ ผมคงมีความสุขกับมันมาก และอยากให้มันมีความสุข และอยู่สุขสบายด้วย จนตลอดอายุขัยของมัน ผมจะให้มันบินไปหาอาหารเองบ้างตามใจชอบ และป้อนให้มันบ้างทุกๆวัน และถ้ามันโตและออกไปเจอตัวเมียที่ถูกใจ มันคงจะเล่าประสพการณ์ในชีวิตของมทุกอย่างให้คู่ของมันฟัง ในตอนบ่ายๆ หลังจากหาอาหารกินกันอิ่ม และนั้งพักตามร่มกิ่งไม้ ผมคิดว่าอย่างนั้น ....

คอยอ่านต่อ...

Re: Story of BIRD #2

Story of BIRD#2
อังคารที่ 21 พฤษภาคม 2546
ยังประคองหยิบมันขึ้นมาป้อนอาหาร และเปลี่ยนกระดาษทิชชูที่รองก้นภาชนะที่ผมใช้แทนรังให้มัน เพราะมีขี้นกอยู่พอสมควร
มันก็ยังลืมตาใสแจ๋วและพยายามมองมาที่ผมตลอดเวลา
คินนี้ผมหยุดงานเพราะตรงกับวันพุธ ผมนั่งดูมันเช่นเคยในขณะที่ทำงานบ้านบางอย่างไปด้วย วันนี้ได้ซ้อมเปียโนนิดหน่อย เพราะมีเรื่องอื่นๆที่ต้องทำด้วยในวันหยุด ผมเข้านอนเร็ว 3 ทุ่มก็หลับแล้วหลังจากอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าและอธิษฐานเผื่อนกตัวนี้

ตอนเช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้า 7.30 น. ของวันพฤหัส ที่ 22/5/2003 ผมเข้าไปดูมันในห้องเพราะผมวางมันไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์ (ผมนอนนอกห้องนอนมาหลายวันแล้ว เพราะข้างนอกอากาศดี,ประหยัดไฟ ไม่ต้องเปิดแอร์ในห้องนอนด้วย)

เช้านี้มันนอนสงบตายจากโลกไปแล้ว ผมเสียใจและความเศร้าเกิดขึ้น แต่ก็ช่วยมันได้เต็มที่แล้วเท่าที่ผมทำได้ แต่มันต้องตายเพราะ ภายในอาจจะบอบช้ำมากจากการที่โดนแมวโยน,ฟัดเหวี่ยง และรอยเล็บแมวนั้นมันจะมีพิษด้วย (เชื้อราบางอย่างจากความสกปรกในอุ้งเล็บแมว) สังเกตได้ว่าถ้าคนเราโดนเล็บแนวข่วน จะปวดแสบปวดร้อนมากเหมือนกัน

ความตั้งใจที่จะเลี้ยงให้มันโต และจะตั้งชื่อให้มัน,จะพาไปโน่นไปนี่นั้นก็ไม่สำเร็จ แต่ก็ดีใจที่มันตายแบบสงบไม่ต้องทรมาณจากการที่ตายด้วยแมวทำร้าย เพราะแน่นอนมันต้องเจ็บปวด,ตกใจ,และทุกข์ทรมานมากกว่านี้ร้อยเท่า ขอให้มันไปเป็นสุขเถิด..

หลังจากนี้ไปผมจะเล่นเปียโนคนเดียวเหมือนเดิม (หมายถึงที่บ้านครับ) จะไม่มีนกมันนั่งฟังด้วยทุกวันๆอีกแล้ว ไม่มีใครที่คุ้นกับเสียงเพลงแจ้สต่างๆที่ผมฝึกซ้อมและเล่นทุกวัน นอกจากตัวผมเองเท่านั้นที่รู้ดี ส่วนเวลาที่ผมเล่นเปียโนในที่ทำงานก็มีแต่แขกที่เวียนไปเวียนมาจากต่างประเทศบ้าง ไทยบ้างพอสมควร ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง,บ้างก็แสดงอาการแปลกๆ เช่นวันหนึ่งตอนหัวค่ำ เมื่อผมเริ่มนั่งเล่น เขาก็หันมามองนิดนึงแล้วเมินไป จนกระทั่ง 5-6 เพลงผ่านไป เขาถึงได้เริ่มสนใจ (เขาเป็นแขกต่างประเทศ 2--3คู่) เขาเริ่มหันมามอง แฮ่ะๆๆ ผมเดาออก ทีแรกเลยผมนั่งบนเปียโน และหยิบแผ่นCDวางลงในเครื่องเล่น เพื่อเตรียมไว้เปิดในช่วงต่อไปที่จะพัก15นาทีนะครับ พอหลังจากนั้นเสียงเปียโนก็ดังขึ้น จากการเล่นของผมเอง 100 % แต่แขก 2-3 คู่นั้น เข้าใจว่าผมเปิด CD แล้วนั่งทำท่าเหมือนเล่น แน่ะ...ยังงี้ก็มี ผมมีความเข้าใจภายหลังเพราะ นึกๆดูแล้วตอนเวลาที่ผมเล่นนั้นไม่ได้มองที่คีย์เปียโนเลย หลับตาและโยกย้าย โอนเอนไปตามอารมณ์เพลง ซึ่งมันเหมือนกับไม่ได้เล่นจริง แค่นั่งทำท่าเฉยๆงั้นแหละ....ผมนึกขำน๊ะ

ฉะนั้นในเวลาเล่นเปียโน เชื่อแน่ว่าไม่มีแขกที่มาเที่ยว หรือนักฟังคนใหน ที่จะซาบซึ้งและเห็นถึงความอดทน,ยากลำบากในการฝึกหัด,ซ้อมเพลงแต่ละเพลง,บทฝึกแต่ละบท ที่กว่าจะผ่านไปได้ และเป็นที่พอใจของตัวเองต้องทุ่มเทกับมันมาก หวังอยากจะมีนกตัวนั้น ที่จะอยู่ด้วยทุกวันเวลา ที่มันพอจะเข้าใจ ถ้าหากมันยังไม่ตาย แต่นี่มันตายไปแล้วผมก็ไม่มีใครเลยที่จะมารับรู้เรื่องละเอียดอ่อนที่กำลังทำอยู่ทุกๆวันที่บ้าน หวังแต่จะมี..."ลูกนก" ตัวต่อไปที่ตกลงมาจากต้นไม้ และผมก็จะนำมันมาเลียงจนมันโตและ สนิทสนมกันกับผม เหมือนที่ผมมีความใฝ่ฝันหลังจากที่เจอ.."ลูกนกตัวแรก" ที่ตายไปแล้วนั้น เผื่อจะนำมาเลี้ยง หลังจากโตแล้วก็จะเป็นเพื่อนกัน เมื่อมันออกไปเจอตัวเมียที่ถูกใจ มันคงจะเล่าประสพการณ์ในชีวิตของมันทุกอย่างให้คู่ของมันฟัง ในตอนบ่ายๆ หลังจากหาอาหารกินกันอิ่ม และนั้งพักผ่อนกันตามร่มกิ่งไม้ มันก็จะนั่งคุยกัน เพื่อเล่าความหลัง..

จบครับ